วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2561


สำนวนสุภาษิตคำพังเพย
1. ที่มาและความหมายของคำพังเพยที่ว่า ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง


              คำพังเพยว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง
              หมายถึง ก. ตำหนิผู้อื่นเรื่องใดแล้วตนก็กลับทำในเรื่องนั้นเสียเอง
              ที่มาของคำพังเพย มาจากวรรณคดีเรื่องอิเหนาท้าวกะหมังกุหนิงยกทัพมาประชิดเมืองดาหาเพื่อชิงนางบุษบา  อิเหนาก็มาช่วยปราบศึกและเมื่อได้พบนางบุษบาก็ลุ่มหลงออกอุบายแต่งทัพปลอมเป็นทัพกะหมังกุหนิงเข้าเผาเมืองแล้วปลอมเป็นจรกาพานางบุษบาไปซ่อนไว้ในถ้ำ
              ตัวอย่างการนำไปใช้งาน เธออย่ามัวแต่ว่าคนอื่นไม่มีน้ำใจเลย ตัวเธอเองก็ไม่ต่างจากคนเหล่านั้นหรอก ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง
              2. ที่มาและความหมายของสำนวนไทยที่ว่า ไฟสุมขอน

                  สำนวนไทย ไฟสุมขอน
                  หมายถึง ร้อนรุ่มอยู่ภายใน
             ที่มาของสำนวน มีที่มาจากไฟที่ติดคุกรุ่นอยู่ภายในขอนไม้ ไม่ออกมาข้างนอก นำมาเปรียบเทียบกับความรู้สึกทางจิตใจทั้งความรัก ความเกลียด ความโกรธ ความแค้น ฯลฯ ที่ทำให้เกิดความทุกร้อนอยู่ในจิตใจ (วรารัตน์ มหามนตรี, 2557 : 52)
          ตัวอย่างการนำไปใช้งาน เด็กที่เกิดในครอบครัวที่มีปัญหาเรื่องของการเลี้ยงดู จะส่งผลทำให้เด็กเป็นคนที่ใจร้อน โกรธง่าย โมโหง่าย ไม่กล้าแสดงออกให้ใครรับรู้ได้และไม่กล้าสู้หน้ากับสังคม ดังไฟสุมขอน ที่กำลังเก็บความรู้สึกอยู่ผู้เดียว
            3. ที่มาและความหมายของสำนวนไทยที่ว่า ขี่ช้างวางขอ

               สำนวนไทย ขี่ช้างวางขอ
              หมายถึง ผู้ที่มีคนในปกครองมาก ถ้าปล่อยปละละเลยไม่ค่อยว่ากล่าวตักเตือนคนในปกครองก็ย่อมจะทำแข็งกำเริบฮึกเหิมไม่เกร่งกลัว
             ที่มาของสำนวน มาจากการบังคับช้าง หากคนขี่ช้างวางขอเสีย ไม่คอยสับช้างไว้  ช้างก็ย่อมอาละวาดได้  จึงนำเปรียบเทียบกับผู้ที่มีคนในปกครองมาก หากปล่อยปละละเลยไม่คอยว่ากล่าวตักเตือน คนในปกครองก็ย่อมกำเริบแข็งขืนไม่เกรงกลัว (วรารัตน์ มหามนตรี, 2557 : 72)
           ตัวอย่างการนำไปใช้งาน ผมเคยเตือนคุณแล้วว่าอย่าขี่ช้างวางขอต่อให้เป็นคนสนิทแค่ไหนก็ตาม คุณต้องเข้าไปดูแลร้าน คอยตรวจสอบบัญชีไม่ใช่ไว้วางใจลูกน้องทำทุกอย่าง สุดท้ายลูกน้องก็ยักยอกสินค้าไปโดยไม่รู้ตัว
             4. ที่มาและความหมายของคำพังเพยที่ว่า อย่าชิงสุกก่อนห่าม

                  คำพังเพย อย่าชิงสุกก่อนห่าม
                หมายถึง คำสอนหรือเตือนสติว่า อย่าทำในสิ่งที่ไม่สมควรแก่วัยหรือยังไม่ถึงเวลา มักหมายถึงการลักลอบได้เสียกันก่อนแต่งงาน
                ที่มาของคำพังเพย มาจากผลไม้ที่มีลำดับขั้นจาก ดิบ-ห่าม-สุก ผลไม้ใดที่ข้ามขั้นตอนจากดิบไปสุกเลย โดยอาจผ่านกระบวนการบ่ม จะไม่อร่อยเท่าผลไม้สุกไปตามขั้นตอนตามธรรมชาติหรือผลไม้ที่สุกคาต้น จึงนำมาใช้เปรียบเทียบกับผู้หญิงที่ทำอะไรข้ามขั้นตอน โดยเฉพาะเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ทำให้เป็นผู้หญิงที่ไม่มีค่า (วรารัตน์ มหามนตรี, 2557 : 18)
               ตัวอย่างการนำไปใช้งาน ปัจจุบันผู้หญิงไทยมีชีวิตที่เป็นอิสระมากขึ้น สามารถพบปะพูดคุย เรียนหนังสือ ตลอดจนทำงานร่วมกับผู้ชาย หรืออาจถูกเนื้อต้องตัวกันได้ก็ตาม แต่การที่ผู้หญิงสามารถรักษาความบริสุทธิ์ไม่ชิงสุกก่อนห่ามจนกว่าจะถึงวันแต่งงานก็ยังคงเป็นโลกทัศน์ที่คนไทยให้ความสำคัญและแสดงคุณค่าของผู้หญิงนั้นได้
            5. ที่มาและความหมายของสำนวนไทยที่ว่า คนดีผีคุ้ม

                สำนวนไทย คนดีผีคุ้ม
                หมายถึง น. คนทำดีเทวดาย่อมคุ้มครอง, มักใช้เข้าคู่กับคนร้ายตายขุมว่า คนดีผีคุ้ม คนร้ายตายขุม
                ที่มาของสำนวน มาจากคนไทยเชื่อว่า ในตัวบุคคลแต่ละคนจะมีผีหรือเทวดาประจำตัวคอยคุ้มครองปกป้องอันตรายให้ ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะกรรมเก่าที่เคยทำไว้ หรือเพราะเวรกรรมแต่ชาติปางก่อนตามมาทันแล้ว หากเกิดภัยอันตรายใด ๆ ขึ้นแก่บุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติดี ผีหรือเทวดาประจำตัวก็จะช่วยปกป้องคุ้มครองให้แคล้วคลาดจากภัยอันตรายเหล่านั้น หรือถ้าเป็นคนดี มีความซื่อสัตย์ ถึงจะถูกคนอื่นทำร้ายหรือกลั่นแกล้งก็จะไม่เป็นอันตรายใด ๆ 
(วรารัตน์ มหามนตรี, 2557 : 192)
               ตัวอย่างการนำไปใช้งาน คนที่ทำความดี คิดดีต่อผู้อื่นถึงจะไม่เห็นผลที่ตามมาทันทีแต่เป็นการกระทำของคนที่มีจิตใต้สำนึกที่บริสุทธิ์และจริงใจ หากทำความดีบ่อย ๆ สม่ำเสมอ จะทำให้ผลของการทำความดีนั้นส่งผลที่ดีต่อชีวิตดังกับคนดีผีคุ้ม
            6. ที่มาและความหมายของสำนวนไทยที่ว่า ขนทรายเข้าวัด

   สำนวนไทย ขนทรายเข้าวัด
                       หมายถึง ก. หาประโยชน์ให้ส่วนรวม
              ที่มาของสำนวน เกิดจากวัฒนธรรมทางจิตใจทางศาสนา และความเชื่อจากการทำบุญก่อพระทรายที่วัด โดยที่วัดจัดงานก่อพระทรายจะมีประชาชนที่จะทำบุญพระทรายจะนำเงินทำบุญให้กับผู้จัดการวัด และไปรับกรวยมาขนทรายที่วัดเตรียมไว้ให้ แล้วเอาทรายใส่กรวยครอบลงไปกับพื้นดินเป็นรูปองค์เจดีย์แล้วนำธงเล็ก ๆ หรือดอกไม้มาปักที่ยอด หรือนำทรายมาจากบ้านตนเอง ช่วยกันนำมาถมลานวัดถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง
                     ตัวอย่างการนำไปใช้งาน โรงเรียนแห่งหนึ่งมาขอรับบริจาคเพื่อระดมทุนไปสร้างโรงเรียนให้เด็ก ๆ ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารห่างไกลการศึกษา การระดมทุนครั้งนี้ก็เหมือนการขนทรายเข้าวัดขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาไปร่วมทำบุญ
            7. ที่มาและความหมายของสำนวนไทยที่ว่า ผ้าพับไว้

                 สำนวนไทย ผ้าพับไว้
                 หมายถึง กิริยามารยาทเรียบร้อย มักใช้กับผู้หญิงว่า เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้
           ที่มาของสำนวน มาจากเครื่องนุ่งห่มของผู้หญิงไทยในสมัยก่อนที่ประกอบด้วยผ้านุ่งหรือโจงกระเบน และสไบหรือผ้าแพรคล้องคอ ซึ่งล้วนแต่มีลักษณะเป็นผ้าผืนยาว หลังจากทำความสะอาดแล้วจึงต้องพับให้เรียบร้อยแล้วเก็บไว้ในหีบ เมื่อนำมาใช้รอยพับหรือรอยจีบของผ้ายังสามารถแสดงฐานะของผู้นุ่งห่มได้ด้วย (วรารัตน์ มหามนตรี, 2557 : 21)
            ตัวอย่างการนำไปใช้งาน ผู้หญิงที่ดีไม่ว่าจะมีชาติตระกูลสูงหรือชาติตระกูลต่ำก็ควรต้องมีกิริยามารยาทงดงาม มีกิริยาวาจาที่สุภาพ นุ่มนวล เรียบร้อย ถูกกาลเทศะ ดังกับผ้าที่พับไว้ ในสมัยก่อนนั้นเรียกผู้หญิงที่มีตระกูลและมีความประพฤติดีว่า กุลสตรีซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวแสดงถึงความเป็นผู้ดีด้วย
            8. ที่มาและความหมายของสำนวนไทยที่ว่า ใส่ตะกร้าล้างน้ำ

                    สำนวนไทย ใส่ตะกร้าล้างน้ำ
           หมายถึง ทำให้หมดราคี ทำให้หมดมลทิน ลบล้างอะไรที่เสียไปให้กลับดีขึ้นใหม่ ใช้กับหญิงที่เสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว กลับเอามาทำตัวให้เป็นคนบริสุทธิ์
                ที่มาของสำนวน มาจากปลาที่จับมานานจนมีกลิ่น คนสมัยก่อนจะนำปลานั้นมาใส่เกลือแล้วใส่ตะกร้าล้างน้ำเพื่อให้สามารถกินได้ และใช้เป็นวิธีล้างคาวปลาทำให้ปลาสะอาดหมดกลิ่นคาวได้ คนไทยมองว่าหญิงที่ตกไปอยู่ในมือชายย่อมมีคาว มีมลทิน จึงนำมาเปรียบกับปลา (วรารัตน์ มหามนตรี, 2557 : 24)
               ตัวอย่างการนำไปใช้ ผู้หญิงที่ไม่บริสุทธิ์เนื่องจากถูกผู้ชายแตะต้องหรือล่วงเกินก่อนจัดพิธีแต่งงานถือว่าผิดจารีตประเพณี สังคมจะประณามว่าไม่รักนวลสงวนตัว ใจง่าย เป็นผู้หญิงที่ไม่มีคุณค่าเพราะมีราคีติดตัว จึงทำให้พ่อแม่ต้องจับลูกสาวใส่ตะกร้าล้างน้ำเพื่อหลอกลวงตกตาฝ่ายชายว่าลูกสาวเป็นหญิงที่ดีบริสุทธิ์
             9. ที่มาและความหมายของสำนวนไทยที่ว่า ล่มหัวจมท้าย

                     สำนวนไทย ล่มหัวจมท้าย
                     หมายถึง ร่วมทุกข์ยากด้วยกัน อยากมีดีจนด้วยกัน
              ที่มาของสำนวน  มาจากเรือที่สามีภรรยาใช้พายไปค้าขาย ช่วยกันทำมาหากิน ซึ่งภรรยาจะพายอยู่หัวเรือ ส่วนสามีจะอยู่ท้ายเรือ ดังที่พูดกันว่า ผัวถือท้ายเมียพายหัว หรือ ผัวแจวท้ายเมียพายหัว ดังนั้นหากเรือล่มก็จะจมลงไปด้วยกัน
                 ตัวอย่างการนำไปใช้งาน ในอดีตและปัจจุบันมองว่า ภรรยาที่ดีต้องอยู่เคียงข้างสามีเสมอไม่ว่าที่สามีเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ หากในเวลาที่เป็นสุขก็ร่วมยินดี ส่วนเวลาทุกข์ก็อยู่ล่มหัวจมท้ายไปด้วยกัน
              10. ที่มาและความหมายของสำนวนไทยที่ว่า น้ำขึ้นให้รีบตัก
                    สำนวนไทย น้ำขึ้นให้รีบตัก
                    หมายถึง กำลังชะตาขึ้นหากจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่ตน ก็ให้รีบทำเสีย
               ที่มาของสำนวน มาจากน้ำในแม่น้ำลำคลองที่มีเวลาขึ้นลง เมื่อน้ำขึ้นควรรีบตักใส่ตุ่มไว้เพราะถ้าหากเพิกเฉยน้ำลงแห้งไปก็ตักมาใช้ไม่ได้ เป็นสำนวนที่สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตริมน้ำของคนไทยสมัยก่อนเพราะมีการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำลำคลองในชีวิตประจำวันด้วย (วรารัตน์ มหามนตรี, 2557 : 151)
                 ตัวอย่างการนำไปใช้งาน ตอนนี้สินค้าของบริษัทเรากำลังเป็นที่นิยม เป็นที่ต้องการของตลาดมาก โอกาสมาถึงแล้วน้ำขึ้นให้รีบตัก เพราะฉะนั้นเราต้องฉวยโอกาสนี้ไว้เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าให้ได้ตามความต้องการของลูกค้า
             11. ที่มาและความหมายของสำนวนไทยที่ว่า เด็ดดอกไม้ร่วมต้น  
                  สำนวนไทย เด็ดดอกไม้ร่วมต้น       
                  หมายถึง ชาติก่อนเคยทำอะไรร่วมกันมาชาตินี้จึงได้มาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
              ที่มาของสำนวน  มาจากการเด็ดดอกไม้ไปทำบุญหรือไปไหว้พระ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้กับผู้หญิงและผู้ชายที่จะไปทำบุญแล้วมาเก็บดอกไม้ต้นเดียวกัน  คนสมัยก่อนมีความเชื่อเกี่ยวกับการที่คนเคยสร้างบุญร่วมกันมามีความเชื่อในเรื่องบุญกรรมและเรื่องชาติภพว่าคนเราจะต้องเกิดและตายวนเวียนไปเช่นนี้จนกว่าจะพ้นทุกข์ ผู้หญิงกับผู้ชายที่เคยเป็นเนื้อคู่กันมาก่อน เคยทำบุญร่วมกันมาก่อนชาตินี้จึงได้มาเป็นคู่กันอีก (วรารัตน์ มหามนตรี, 2557 : 214)
               ตัวอย่างการนำไปใช้งาน อย่าไปขัดขวางความรักของทั้งคู่เลย ชาติที่แล้วพวกเขาคงเคยเก็บดอกไม้ร่วมต้น ทำบุญร่วมกันมาชาตินี้ถึงได้มาเจอกันอีก แยกกันยังไงก็ไม่ขาด
           12. ที่มาและความหมายของคำพังเพยที่ว่า ตัดหางปล่อยวัด  
              คำพังเพย ตัดหางปล่อยวัด  
              หมายถึง  ไม่เอาเป็นธุระ เลิกใส่ใจดูแล
              ที่มาของคำพังเพย มาจากไก่  โดยเชื่อกันว่า ไก่พันธุ์พื้นเมืองหรือไก่อูนั้นปกติจะมีสีดำแต่ถ้าหากว่ามีไก่สีขาวเกิดขึ้นมา ก็จะถือว่าเป็นไก่กาลีหรือไก่กาลกิณี เชื่อว่าถ้านำมาเลี้ยงไว้คนนั้นหรือครอบครัวนั้นก็จะเจอแต่ปัญญาหรือเรียกได้ว่าไก่สีขาวจะนำแต่ความโชคร้ายมาให้ ต้องนำไก่สีขาวไปปล่อยที่วัดให้เป็นไก่วัด แต่ก่อนจะนำไก่ไปปล่อยนั้นต่อตัดหางออกเสียก่อน จึงเป็นที่มาของสำนวน ตัดหางปล่อยวัด
               ตัวอย่างการนำไปใช้งาน ดาราคนนี้เงียบหายไปนานไม่มีผลงานให้เห็นคงถูกตัดหางปล่อยวัดไปแล้ว เพราะทำตัวหยิ่งยโสแถมยังไปมีเรื่องกับนักข่าวอีก
           13. ที่มาและความหมายของคำพังเพยที่ว่า เคาะกะลามาเกิด
              คำพังเพย เคาะกะลามาเกิด
              หมายถึง เป็นหมามาเกิด ใช้เปรียบเทียบกับคนที่ดื้อรั้นเกกมะเหรก เกเร
              ที่มาของคำพังเพย มาจากลักษณะการเลี้ยงสุนัขในสมัยก่อน ซึ่งมักจะใส่อาหารในกะลาให้สุนัขกิน เวลาเรียกมากินข้าวบางทีก็ไม่เรียกด้วยปาก แต่จะเป็นการเคาะกะลาเรียกอาจจะใช้ไม้ตีกะลาหรือใช้กะลาเคาะกับพื้นก็ได้ พอสุนัขได้ยินเสียงก็จะรีบวิ่งมากินข้าว ที่ใช้สุนัขเปรีบบเพราะว่าคนไทยมีคติว่าสุนัขเป็นสัตว์ชั้นต่ำ จะด่าว่าให้เจ็บแสบต้องเปรียบกับสุนัข
           ตัวอย่างการนำไปใช้ ณ บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมีลูกชาย 2 คน คนโตเป็นคนขยันทำมาหากิน แต่คนเล็กนั้นมีนิสัยเกเรตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นก็ไม่ตั้งใจเรียนและยังเป็นอันธพาลหาเรื่องคนโน้นคนนี้ไปทั่ว ชาวบ้านเดือดร้อนกันหลายคน ชาวบ้านชอบบ่นว่าเด็กคนนี้แม่เคาะกะลาเรียกให้มาเกิดหรือไง
            14. ที่มาและความหมายของสำนวนไทยที่ว่า คาบลูกคาบดอก

                 สำนวนไทย คาบลูกคาบดอก
              หมายถึง ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องอะไร เหตุการณ์นั้นจะส่อไปในทางดีหรือร้ายไม่แน่ว่าจะเป็นอย่างไหน ก้ำกึ่งกันอยู่
               ที่มาของสำนวน มาจากธรรมชาติของต้นไม้ที่ออกดอก และกำลังจะกลายเป็นลูก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกัน จะได้หรือจะเสียก็ยังไม้รู้ (ดอกจะติดลูกเป็นผล หรือจะร่วงก็ยังไม่รู้) จึงมักเรียกช่วงนี้ว่าช่วงคาบลูกคาบดอก
             ตัวอย่างการนำไปใช้งาน บริษัทแห่งหนึ่งลงทุนธุรกิจกับเพื่อนต่างบริษัท ช่วงแรกทุกอย่างดำเนินไปได้ดี พอตอนหลัง ๆ เศรษฐกิจเริ่มแย่ลง ถ้าหากผ่านช่วงเศรษฐกิจนี้ไปได้ไม่รู้ว่าเงินที่ลงทุนไปจะทำกำไรได้มากหรือน้อยเท่าไหร่ ยังคาบลูกคาบดอก ไม่แน่ใจว่าธุรกิจนี้จะดีขึ้นหรือเลวร้ายลง
           15. ที่มาและความหมายของคำพังเพยที่ว่า ฆ่าช้างเอางา
                คำพังเพย ฆ่าช้างเอางา
           หมายถึง การทำสิ่งที่มีค่ามากเพื่อให้ได้สิ่งที่มีค่าน้อยนิด หรือการกระทำที่ทำลายสิ่งสำคัญสิ่งที่มีค่ามากมาย เพื่อให้ได้สิ่งที่ไม่คุ้มค่า โดยไม่คิดเลยว่าการกระทำนั้นสมควรหรือไม่
              ที่มาของคำพังเพย เป็นการเปรียบเปรยกับการฆ่าช้าง เพราะเป็นสัตว์มงคลคู่บ้านคู่เมืองที่มีคุณค่ามากฆ่าเพียงเพราะต้องการนำงาไปขายหรือนำมาทำเครื่องประดับถึงกับต้องฆ่าช้างให้ตายเลย
            ตัวอย่างการนำไปใช้ การขาดแคลนที่ทำมาหากินจึงทำให้ชาวบ้านต้องเผาป่าเพื่อที่จะทำให้เป็นพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน แต่ไฟกลับลุกลามทำลายป่าเสียหายไปหลายร้อยไร่ เหมือนการฆ่าช้างเอางา ทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่กลับเสียหายมาก
 16. ที่มาและความหมายของคำพังเพยที่ว่า กระดูกร้องไห้
                คำพังเพย กระดูกร้องไห้
               หมายถึง คนที่ถูกฆ่าอย่างไร้ร่องรอยหรือไม่มีพยานหลักฐานทิ้งไว้ให้เห็น แต่ในที่สุดผู้ร้ายก็ถูกจับกุมได้ด้วยเหตุบังเอิญ
                ที่มาของคำพังเพย จากอดีตจนถึงปัจจุบันคนไทยมีความเชื่อเรื่องวิญญาณของคนตาย คนที่ตายแล้วไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะผู้ร้ายไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ ทำให้ตำรวจไม่สามารถจับผู้ร้ายได้ แต่ก็มีเหตุบางอย่างทำให้ตำรวจจับผู้ร้ายได้เหมือนกับกระดูกของผู้ตายมาบอกร่องรอยต่างๆดังกระดูกร้องไห้ได้
            ตัวอย่างการนำไปใช้งาน สงสัยกระดูกร้องไห้ได้จริง ๆ อยู่ ๆ ชาวบ้านก็พบศพลอยน้ำมาติดอยู่ข้างสะพาน หลังจากตำรวจได้ลงไปพิสูจน์แล้วพบว่าเป็นร่างของนักธุรกิจหนุ่มคนดังที่หายตัวไปเมื่ออาทิตย์ก่อน
           17. ที่มาและความหมายของคำพังเพยที่ว่า ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
                   คำพังเพย ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
                หมายถึง ทำอะไรที่เสียทรัพย์มาก แต่ไม่ได้ผลประโยชน์คุ้มกับที่ต้องเสียไป หรือใช้จ่ายทรัพย์ในทางที่ไม่เกิดประโยชน์
                ที่มาของคำพังเพย มาจากการตำน้ำพริกเพื่อปรุงแกง ซึ่งสัดส่วนของน้ำพริกต้องพอเหมาะกับน้ำแกงจึงจะได้รสชาติเผ็ดพอดี แต่ถ้าตำน้ำพริกไปละลายในแม่น้ำที่กว้างใหญ่ก็ไม่สามารถทำให้น้ำในแม่น้ำเผ็ดได้ จึงนำมาเปรียบกับการทำอะไรที่ไม่คุ้มหรือไม่เกิดประโยชน์อันใด
                 ตัวอย่างการนำไปใช้ การเล่นพนันก็เหมือนการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ลงทุนไปจะได้คืนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ สู้เอาเงินที่เล่นพนันไปทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์จะดีกว่า
               18. ที่มาและความหมายของสำนวนไทยที่ว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ
                       สำนวนไทย   สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ
                หมายถึง ดีหรือชั่วย่อมอยู่ที่ใจตนเอง
                ที่มาของสำนวน มาจากทัศนที่ว่าใจเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าคิดดี ไม่ถือเอาสิ่งไม่ดีมาคิด จิตใจเป็นสุขสงบ ก็เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ หากเกิดความรู้สึกโกรธเกลียดขึ้นในใจทำให้เกิดทุกข์ก็เหมือนอยู่ในไฟนรก และเผาผลาญตนเอง
               ตัวอย่างการนำไปใช้ นายฉลองผลิตสินค้าผิดกฎหมายออกมาขายจนร่ำรวย โดยมีธุรกิจอื่นบังหน้าถึงผู้คนในสังคมจะไม่รู้แต่สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ นายฉลองก็รู้ดีอยู่กับตัวเองว่าตนกำลังทำอะไร ความจริงแล้วเขาไม่มีความสุขหรอก
            19. ที่มาและความหมายของสำนวนไทยที่ว่า ไกลปืนเที่ยง
                สำนวนไทย ไกลปืนเที่ยง            
                หมายถึง ไม่รู้อะไร เป็นคนบ้านนอกคอกนา ไม่ทันสมัย
        ที่มาของสำนวน มาจากในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการยิงปืนใหญ่เพื่อบอกเวลาตอนเที่ยงวัน แต่ปืนเที่ยงนี้ยิงในพระนครจึงได้ยินแต่ประชาชนในพระนครที่อยู่ใกล้ปืนเที่ยง คนที่อยู่ห่างไกลออกไปมากก็ไม่ได้ยิน จึงใช้ในความหมายว่า ไม่รู้เรื่องที่คนในพระนครรู้กัน ต่อมาใช้รวมไปถึงว่าเป็นคนบ้านนอกคอกนา เซ่อเซอะ  งุ่มง่าม ไม่ทันสมัยเหมือนสมัยพระนคร (วรารัตน์ มหามนตรี, 2557 : 95)
               ตัวอย่างการนำไปใช้งาน รัฐบาลและองค์กรภาคเอกชนระดมทุนช่วยเหลือและให้ทุนการศึกษากับนักเรียนที่อยู่ในพื้นที่ไกลปืนเที่ยง เพื่อให้มาตรฐานการศึกษานั้นใกล้เคียงกับนักเรียนที่อยู่ในเมืองใหญ่
            20. ที่มาและความหมายของสำนวนไทยที่ว่า ไม้ใกล้ฝั่ง
                สำนวนไทย ไม้ใกล้ฝั่ง  
                หมายถึง มีอยู่มาก แก่ชราเต็มที ใกล้ความตาย
               ที่มาของสำนวน  มาจากการนำต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ตามริมฝั่งลำน้ำมาเปรียบ คือ ตามริมฝั่งน้ำจะถูกกระแสน้ำเซาะดินทลายอยู่เสมอ เมื่อดินทลายเข้าไปจนถึงต้นไม้และน้ำเซาะรากจนไม่จับดินต้นไม้นั้นก็ล้ม เหมือนกับคนชราที่ร่างกายเสี่อมลงไปเรื่อย ๆ มีชีวิตใกล้ความตายเข้าไปทุกขณะ (วรารัตน์ มหามนตรี, 2557 : 39)
              ตัวอย่างการนำไปใช้ บุคคลตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นผู้ที่มีร่างกายเสื่อมตามสภาพ ตาเริ่มมัวมองไม่เห็น หูไม่ค่อยได้ยิน ลิ้นไม่ค่อยได้รสประสาทต่าง ๆ ทำงานไม่เต็มที่กำลังลดถอยเชื่องช้า ความต้านทานต่าง ๆ ลดลงทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย จิตใจมักอ่อนเพลีย หดหู่ หงุดหงิดและมีอารมณ์แปรปรวนเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง
            21. ที่มาและความหมายของคำพังเพยที่ว่า เจ้าไม่มีศาล สมภารไม่มีวัด

คำพังเพยเจ้าไม่มีศาล สมภารไม่มีวัด
หมายถึง คนที่ไม่มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง
ที่มาของคำพังเพย  มาจากความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณเมื่อคนที่ตายไปแล้ววิญญาณจะล่องลอยตามที่ต่าง ๆ ซึ่งถ้าเป็นวิญญาณที่ดีสามารถให้คุณหรือบันดาลสิ่งต่าง ๆ ให้กับมนุษย์ได้มนุษย์ก็มักจะสร้างที่อยู่ให้ดวงวิญญาณนั้นมาอยู่อาศัยซึ่งเรียกว่า ศาล แต่ถ้าเป็นผีไม่ดีผีจรจัดก็มักไม่มีใครสร้างศาลให้ทำให้ผีเหล่านั้นเร่ร่อนไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิงสถิตเป็นหลักแหล่งเช่นเดียวกับพระซึ่งต้องมีวัดในการปฏิบัติกิจสงฆ์และในการจำวัด
ตัวอย่างการนำไปใช้  ลูกชายคนโตของป้าสุวรรณเป็นคนที่ไม่เอาการเอางานขี้เกียจ ชอบเที่ยว ย้ายไปอยู่กับญาติคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง จนญาติญาติเอือมระอา ส่ายหน้าไปต่างๆกันและต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทำตัวเหมือนเจ้าไม่มีศาลสมภารไม่มีวัด
 22. ที่มาและความหมายของสำนวนไทยที่ว่า เผาพริก เผาเกลือแช่ง

สํานวนไทย  เผาพริก เผาเกลือแช่ง
หมายถึง โกรธเคืองใครแล้วทำให้สาแก่ใจด้วยการเอาพริกเอาเกลือมาเผาสาปแช่งให้เป็นไปต่าง ๆ นานา
ที่มาของสำนวน มาจากความเชื่อในการสาปแช่งคนที่ตนเกลียดชังถ้าจะให้คำแช่งได้ผลรุนแรงหรือคำสาปแช่งนั้นเกิดผลสัมฤทธิ์ขึ้นมาจริง ๆ ต้องเอาพริกเอาเกลือมาเผาด้วยเพื่อให้ผู้ที่ถูกแช่งนั้นจะได้รับผลร้ายจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผีสางเทวดา ที่บันดาลให้เป็นไปตามคำแช่งแล้วยังมีทั้งความปวดแสบทุกข์ร้อนทรมานอีก (วาณิช  จรุงกิจอนันต์. 2530: 266)
 ตัวอย่างการนำไปใช้   นายสำนวน ภาษิต แต่งชุดขาวเป็นพราหมณ์นำประชาชน เผาพริกเผาเกลือแช่ง พร้อมทั้งชูป้ายมีข้อความว่า ชาวบ้านขอสนับสนุนนโยบายปราบคอรัปชั่นของรัฐบาล มีการอ่านคำแถลงการณ์ฟ้องต่อศาลเพื่อเป็นการสาปแช่งทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินงบประมาณของทางราชการโดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินโครงการตำบลละ 5 ล้านบาท
 23. ที่มาและความหมายของสุภาษิตที่ว่า ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้

สุภาษิตตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้
หมายถึง ตกอยู่ในที่คับขันอย่างไรก็ไม่เป็นอันตราย
ที่มาของสุภาษิต   มาจากความเชื่อว่าคนที่มีของขลังหรือมีเครื่องรางอันศักดิ์สิทธิ์อยู่กับตัวแม้จะได้รับอันตรายหรือถูกทำร้ายด้วยวิธีการอย่างไรก็ไม่เป็นอะไรเพราะเครื่องรางของขลังนั้นมีฤทธิ์เดชอำนาจช่วยปกป้องบุคคลไม่ให้เป็นอันตรายหรือได้รับความเจ็บปวด เช่น การมีเหล็กไหลอยู่ในตัวก็จะทำให้อยู่ยงคงกระพันถึงจะถูกฟันแทงหรือถูกทำร้ายก็ไม่เป็นอะไร (ยมนา ทองใบ.  2550 : 24)
ตัวอย่างการนำไปใช้  ลุงอำนวย จิตเจริญ เป็นข้าราชการครูที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีน้ำใจต่อคนรอบข้าง ชอบช่วยเหลือผู้อื่น  ต่อให้ถูกโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรมแต่ไปที่ไหนก็มีแต่คนรักเคารพนับถือ แบบนี้แหละที่เรียกว่าตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้
 24. ที่มาและความหมายของสำนวนไทยที่ว่า ยกเมฆ
             สํานวนไทย  “ยกเมฆ
หมายถึง  เดาเอานึกเอาคาดเดาเอาเองว่าเป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้
ที่มาของสำนวน มาจากความเชื่อทางไสยศาสตร์ในการดูเมฆ ดูรูปร่างลักษณะของเมฆ เพื่อจะดูนิมิตรดีร้ายในการกระทำกิจกรรมสำคัญสำคัญ เช่นการยกทัพ ถ้าเห็นเมฆเป็นรูปพระนารายณ์ก็ถือว่าเป็นนิมิตที่ดี ควรยกทัพได้ แต่ถ้าฤกษ์ยกทัพเกิดเมฆเป็นรูปเมรุเผาศพ หรือว่า ตอนจะเคลื่อนพลแล้วเห็นเมฆเป็นรูปคนไม่มีหัว ทายว่า ถ้าคืนยกทัพไปก็จะถูกข้าศึกฆ่าตายกันหมดทั้งกองทัพ เป็นต้น
 ตัวอย่างการนำไปใช้ คุณครูบอกกับนักเรียนว่า อย่าไปยึดติดกับคำทำนายของหมอดูมากนักเลยหมอดูส่วนใหญ่ก็ยกเมฆเดาเอาทั้งนั้นจะเป็นจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้อนาคตจะดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่ตัวเองกระทำต่างหาก
              25. ที่มาและความหมายของคำพังเพยที่ว่า กินปูนร้อนท้อง

คำพังเพยกินปูนร้อนท้อง
หมายถึง ทำอาการมีพิรุธขึ้นเอง
ที่มาของคำพังเพย มาจากตุ๊กแก ในสมัยโบราณคนมีวิธีจับตุ๊กแกโดยใช้ยาฉุนผสมปูนที่กินกับหมากผูกปลายไม้ล่อให้ตุ๊กแกกิน เมื่อตุ๊กแกกินปูนและยาฉุนเข้าไป จะแสดงอาการงัวเงียและร้องออกมา เราเชื่อกันว่าที่มันร้องก็เพราะว่ามันร้อนท้อง จึงนำเอามาเปรียบเทียบกับคนที่ทำ พิรุธไว้
 ตัวอย่างการนำไปใช้  ตำรวจจราจรได้ตั้งด่านตรวจรถที่ทำผิดกฎจราจร แต่คนขับแท็กซี่กินปูนร้อนท้อง อยู่ๆก็เสนอเงินให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน หนึ่งแล้วบอกว่ารีบ  ทำให้ผิดสังเกตจึงทำการค้นรถปรากฏว่าคนขับแท็กซี่พบยาบ้าซุกซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก
 26. ที่มาและความหมายของสำนวนที่ว่า ไทยเล็ก  เจ๊กดำ

สํานวนไทยไทยเล็ก  เจ๊กดำ
หมายถึง คนที่ไม่น่าไว้วางใจ  ไม่น่าคบหาสมาคมด้วย
ที่มาของสำนวน  มาจากสำนวนเต็ม ๆ คือเขมรขาว ลาวใหญ่ ไทยลีก เจ๊กดำ สํานวนข้างต้นจะเห็นได้ว่า ลักษณะชนชาติที่ปรากฏนั้นตรงข้ามกันทั้งหมด คนลาวก็รูปร่างไม่ใหญ่โต และเจ๊กส่วนใหญ่จะมีผิวขาวสำหรับคนไทยเป็นคนตัวใหญ่ เพราะคนไทยโบราณแท้ ๆ มักจะมีรูปร่างสูงใหญ่โดยเฉพาะชาวไทยในสมัยโบราณจะมีรูปร่างกำยำ ล่ำสันสูงใหญ่ ดังนั้นคนที่ดูตัวเล็ก ๆ จิ๋วจิ๋วคนจีนที่ตัวดำคนลาวที่ตัวใหญ่และคนเขมรที่ตัวขาวจึงดูเหมือนผิดปกติไปจากที่เคยเห็นทั่วไป โบราณก็เลยสอนไว้ว่าอย่าไว้วางใจ ให้รอบคอบถี่ถ้วน พิจารณาให้ดี เพราะอาจเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยมกลโกง  (ยมนา ทองใบ.  2550 : 97)
 ตัวอย่างการนำไปใช้  มีหน่วยงานรัฐบาลเป็นองค์กรที่ทำงานเรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรคพอมาถึงรัฐบาลใหม่ก็เปลี่ยนมาเป็นรักษาฟรีไม่ต้องจ่ายเลยสักบาทการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทำนองนี้ทำให้ประชาชนสับสน และมีข่าวลือกันว่าพวก ไทยเล็ก เจ๊กดำ กลุ่มนี้ เป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจในการทำงานและรับผิดชอบกับโครงการดังกล่าว
            27. ที่มาและความหมายของสุภาษิตที่ว่า กงเกวียนกำเกวียน
              สุภาษิตกงเกวียน กำเกวียน
หมายถึง เวรกรรมนั้นย่อมตามสนองผู้ที่ก่อกรรม
ที่มาของสุภาษิต มาจากความเชื่อเกี่ยวกับกฎแห่งกรรม คือเชื่อว่า บุคคลมีกรรมเป็นเครื่องกำหนด ใครประกอบกรรมดีไว้ย่อมได้รับผลดีตอบแทน ใครประกอบกรรมชั่วไว้ย่อมได้รับผลชั่วตอบสนองเช่นกัน เหมือนกับกงล้อของเกวียนที่หมุนวนไปเรื่อย ๆ ตามที่ล้อเกวียนหมุนไป
 ตัวอย่างการนำไป  คนเฒ่าคนแก่บอกว่าทุกคนย่อมมีกงเกวียน กําเกวียนในเรื่องที่ตัวเองทำมาคงหนีไม่พ้น เมื่อเขาทำไม่ดีกับแม่พ่อยังไง  ต่อไปเมื่อเขามีลูก ลูกของเขาก็จะทำแบบนี้เหมือนกัน แล้วเขาจะได้รู้ว่าคนเป็นแม่คนเป็นพ่อเสียใจขนาดไหน
28. ที่มาและความหมายของสำนวนที่ว่า คู่สร้างคู่สม
สํานวนไทยคู่สร้าง คู่สม
หมายถึง  สามีภรรยาที่เคยทำบุญร่วมกันมาจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
ที่มาของสำนวน  มาจากคติความเชื่อของคนไทยทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับการสร้างบุญสร้างกุศลร่วมกันมาของชายหญิงโดยเชื่อว่า คนที่รักกันเป็นเนื้อคู่กัน ต้องเป็นคู่สร้างคู่สมกันมาแต่ก่อนคือทั้งคู่เคยอยู่ร่วมกันมาและสร้างบุญบารมีมาด้วยกัน ในอดีตชาติ ชาตินี้จึงได้เป็นคู่กันอีก เหมือนเป็นคู่ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้มีความเหมาะสมแก่กัน
             ตัวอย่างการนำไป  ตากับยายของเธออายุกว่า 80 ปีแล้วยังดูแลเอาใจใส่กันช่างเป็นคู่สร้างคู่สมกันมาหลายสิบปี ดูเหมาะสมกันและยังเป็นตัวอย่างให้กับหลาน ๆ ในการใช้ชีวิตรักที่มีความสุข
29. ที่มาและความหมายของสุภาษิตที่ว่า บุญทำ กรรมแต่ง
สุภาษิตบุญทำกรรมแต่ง
หมายถึง  บุญหรือบาปที่ทำไว้ในชาติก่อน
ที่มาของสุภาษิต  เกิดจากคติความเชื่อในทางพระพุทธศาสนาว่าการเกิดมาของคนเรานั้นเป็นเพราะผลแห่งบุญกรรมที่ได้ทำไว้แต่ชาติก่อน ผลบุญนั้นก็จะส่งผลในชาตินี้ ใครทำกรรมดีไว้ในชาติก่อน ชาตินี้ก็จะได้รับผลของกรรมดีนั้น เกิดมาเป็นคนฉลาด รูปร่างสวยงาม แข็งแรงไม่มีโรคภัยเบียดเบียน
             ตัวอย่างการนำไป  แม่เคยสอนฉันว่า ชีวิตของคนเรานอกจากจะต้องมีความพยายามแล้วก็คงอยู่ที่บุญทำกรรมแต่งที่เคยทำกันมาในชาติปางก่อนถ้าทำบุญมาดีเขาก็จะประสบความสำเร็จได้สักวัน และฉันก็ได้นำมาคลิปและใช้เป็นสติเตือนใจ เวลากระทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต โดยพึ่งพาตนเองไปพร้อม ๆ กับโชคชะตา
           30. ที่มาและความหมายของสำนวนที่ว่า บุญมาวาสนาส่ง
              สํานวนไยบุญมาวาสนาส่ง
              หมายถึง ถึงคราวมีโชคดี
ที่มาของสำนวน   เกิดจากความเชื่อทางพุทธศาสนาเมื่อชีวิตของคนเรามาอยู่ในช่วงชะตาดี ผลบุญส่งให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง วาสนาจะช่วยส่งเสริมให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้นไป เมื่อถึงคราวมีโชคดีทำอะไร ๆ ก็จะดีไปหมดทุกอย่าง คนไทยจึงนิยมทำบุญ ทำทานเช่น ตักบาตรถวายสังฆทาน เพราะเชื่อว่าการทำบุญผลบุญนั้นจะส่งให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง มีโชคมีลาภ เจอสิ่งดี ๆ เพราะมีบุญมีวาสนาช่วยส่งเสริม
            ตัวอย่างการนำไป   เด็กคนนี้ถึงแม้จะเกิดมาอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแต่ก็มีบุญมาวาสนาส่งให้มีเศรษฐีรับเลี้ยงไปเป็นลูกบุญธรรมและทำให้เขามีโอกาสที่ดีมีชีวิตที่ดีจนตอนนี้เขามีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตเป็นที่นับหน้าถือตาในสังคม

                                                                               บรรณานุกรม
ยมนา ทองใบ. 2550. การศึกษาสำนวนไทยที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ. สารนิพนธ์ กศ.. ภาษาไทย กรุงเทพฯบัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
วรารัตน์ มหามนตรี. 2557. โลกทัศน์ของคนไทยจากภาษิต. พิมพ์ครั้งที่1. พิษณุโลก: ดวงเงินการพิมพ์
วาณิช จรุงกิจอนันต์. 2528. ถกสำนวนไทย1. กรุงเทพฯ: อมรการพิมพ์
ล้อม เพ็งแก้ว. 2553. สืบสนองสำนวนไทย. กรุงเทพฯ: พิมพ์คำ

จัดทำโดย
นายเสถียรพงษ์    ประจักจิต              รหัส 5942320064
นางสาวศรีจันทร์ นามศรี                   รหัส 5942320078
นางสาวสุภาวดี    พลหาร                  รหัส 5942320079
วิชาคำและสำนวนไทยร่วมสมัย
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาภาษาไทย
มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี